บทความเรื่อง "เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกฎหมาย"

ท่านที่สนใจในเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ทำไมคนเราถึงต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมายและกฎหมายเข้ามายุ่งอะไรกับชีวิต สำหรับท่านฆารวาสก็คงทราบดีอยู่แล้วเกี่ยวกับความหมายและวัตถุประสงค์ที่จำเป็นที่สังคมเราต้องมีกฎหมาย อาตมาจะกล่าวถึงในภายหลัง แต่ที่อยากกล่าวในตอนแรกนี้คือ พระสงฆ์กับกฎหมาย ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้มีเรื่องที่ต้องศึกษาอีกมากเกี่ยวกับความสัมพันธ์กันระหว่างรัฐกับพระ ในเรื่องของกฎหมาย ไม่ว่าท่านจะเป็นพระนวกะหรือพระบวชมานานแล้วหรือจะเป็นเจ้าคณะพระสังฆาธิการก็ตาม ก็น่าจะต้องเรียนรู้ศึกษาเอาไว้บ้าง เพื่อให้เกิดสติปัญญารู้เท่าทันความเป็นจริง นั่นเอง.....สำหรับผู้เขียนนั้นในฐานะเป็นพระภิกษุที่ต้องปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดแล้ว ส่วนหนึ่งก็ยังต้องมีหน้าที่เป็นเลขานุการทางคณะสงฆ์ที่ต้องเกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ด้วย..จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องศึกษาหาความรู้มาเพิ่มเติมให้แก่ตนเองเพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน การศึกษาด้านทางโลกจึงยังมิได้ตัดทิ้งไปโดยเด็ดขาด แต่เห็นว่า ควรจะเลือกศึกษาสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ส่งเสริมให้การปฏิบัติ ศีล สมาธิ และปัญญา ตลอดจน การทำหน้าที่เลขานุการทางคณะสงฆ์นั้นเกิดประสิทธิภาพที่สุด จึงคิดถึง"คณะนิติศาสตร์"ที่เคยเรียนมาตอนก่อนจะบวชเป็นพระว่า ยังไม่สำเร็จประโยชน์คือ ยังไม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและบุคคลอื่นๆได้ จึงตัดสินใจเรียนต่อในสาขาดังกล่าว ซึ่งมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเหมาะสมแล้วสำหรับเพศบรรพชิตเพราะไม่ต้องเข้าชั้นเรียน เพียงแต่อ่านหนังสืออยู่ที่วัดแล้วก็ไปสอบ..ทำให้ไม่ลำบากในการเรียน และเมื่อก่อนเคยชินกับการเรียนทางไกลมาก่อน จึงเลือกเรียนที่นั่นจนถึงปัจจุบันนี้
 |
คณะสงฆ์คำชะอี(มอบประกาศนียบัตรธรรมศึกษาตรี โท เอก แก่นักเรียน |
|
การเรียนนั้นไม่ยากเลย หากแต่ต้องแบ่งเวลาให้เหมาะสม เพราะต้องทำกิจวัตรของพระสงฆ์หลายสิ่ง และยังต้องศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนาไปพร้อมๆกันด้วย ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย คณะพุทธศาสตร์ วิชาเอกพระพุทธศาสนา หลักสูตรปริญญาตรีพุทธศาสตร์บัณฑิต รวมทั้งนักธรรมตรี โท เอก ซึ่งถือว่าเป็นสายหลักที่ต้องศึกษาให้จบหลักสูตร ดังนั้นสรุปแล้วการศึกษาจึงแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ

๑. การศึกษาให้ชัดแจ้งในทางโลก และ
๒. การศึกษาให้รู้แจ้งในทางธรรมะจากพระพุทธศาสนา
การศึกษาด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวโดยไม่เหลียวมองดูด้านอื่นๆ เลย จะเป็นการทำลายตนเองมากกว่า แต่ถ้าเรามองดูรอบๆด้าน เราจะสามารถมุ่งไปสู่จุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างมั่นคง ไม่หลงทางให้เสียเวลาและไม่ทำให้ต้องเสียใจในภายหลัง ดังนั้น วันนี้เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับ " ศาลปกครอง " กันก่อนเพื่อให้ท่านได้สัมผัสกับของจริงเพื่อจะได้เป็นการเสริมประสบการณ์ไปในตัว
ศาลปกครองคืออะไร
ศาลปกครองเป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นเอกเทศจากศาลยุติธรรมและมีอำนาจพิจารณาพิพากษา คดีปกครองแต่เดิม ประเทศไทยมีศาลอยู่ 2 ระบบศาล คือ ศาลยุติธรรมและศาลทหาร
ในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 บัญญัติให้มีศาลเพิ่มขึ้นใหม่อีก 2 ระบบศาล คือ ศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครอง ซึ่งเมื่อรวมกับระบบศาลที่มีอยู่เดิมแล้วเท่ากับว่าในปัจจุบัน
ประเทศไทยมีระบบศาล 4 ระบบศาล ซึ่งแต่ละระบบศาลมีอำนาจหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีคนละประเภทกัน
ดังต่อไปนี้คือ
(1) ศาลยุติธรรม มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีต่างๆ ที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และศาลทหาร ซึ่งประเภทคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม ได้แก่ คดีแพ่ง คดีอาญา คดีล้มละลาย คดีแรงงาน คดีภาษีอากร เป็นต้น
(2) ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามที่รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
(3) ศาลปกครอง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีปกครองตามที่รัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 บัญญัติไว้
(4) ศาลทหาร มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทหาร
ศาลปกครองเป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่ซึ่งมีอำนาจหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีปกครองอันเป็นคดีพิพาท
ระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือ
เจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง และจะต้องเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการใช้อำนาจทางปกครอง การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
การปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร การกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง
ดังนั้น คดีพิพาทระหว่างเอกชนกับหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นคดีแพ่ง คดีอาญา คดีแรงงาน คดีภาษีอากร จึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองแต่อยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม
คดีปกครอง คือ คดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน
หรือข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกันเอง และเป็น
คดีในเรื่องดังต่อไปนี้
1. คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกกฎ คำสั่ง
หรือกระทำการอื่นใดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น กรณีผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่นปฏิเสธไม่ออกใบอนุญาตก่องสร้างอาคารโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือกรณี
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าผู้บังคับบัญชามีคำสั่งลงโทษทางวินัยโดยไม่เป็นธรรม เป็นต้น
2. คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่
ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร เช่น กรณีที่เจ้าพนักงาน
ท้องถิ่นละเลยต่อหน้าที่ไม่ตรวจตราและออกคำสั่งให้เจ้าของอาคารรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างหรือ
ต่อเติมโดยไม่ได้รับใบอนุญา กรณีที่เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการออกโฉนดที่ดินล่าช้าเกิด
สมควร เป็นต้น
3. คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือ
เจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คำสั่ง หรือจากการละเลยต่อ
หน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกิดสมควร เช่น การที่เจ้าพนักงานที่ดินออกคำสั่งเพิกถอน โฉนดที่ดิน
โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย และผู้ฟ้องคดีเรียกค่าเสียหายดังกล่าว
หรือการฟ้องเรียกค่าทดแทนการเวนคืนหรือการรอนสิทธิจากการวางท่อประปาหรือตั้งเสาไฟฟ้า
แรงสูง เป็นต้น
4. คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง เช่น ข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาจ้างเอกชนก่อสร้างถนน
สะพาน อาคารเรียนหรือข้อพิพาทเกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าสัมปทานตามสัญญาสัมปทานทำไม้
ป่าชายเลน หรือสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองทำกับข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาศึกษาต่อ เป็นต้น
5. คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องฟ้องคดีต่อศาลเพื่อ
บังคับให้บุคคลกระทำการหรือละเว้นกระทำการ เช่น กรณีเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางน้ำฟ้องคดี
ต่อศาลปกครองเพื่อมีคำสั่งให้เอกชนรื้อถอนสะพานหรือบ้านที่ปลูกรุกล้ำแม่น้ำ กรณีเจ้าพนักงาน
ท้องถิ่นฟ้องคดีศาลปกครองเพื่อมีคำสั่งใหจับกุ่มและกักขังบุคคลซึ่งมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของ
เ้จ้าพนักงานท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ เป็นต้น
6. คดีที่มีกฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง เช่น กรณีฟ้องขอให้เพิกถอนคำชี้ขาด
หรือบังคับตามคำชี้ขาดหรือบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง เป็นต้น
จา
อ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น