Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ศิลปะกับศาสนา


เรื่อง “ศิลปะกับศาสนา”



 

บทนำ

หากมีบุคคล ๒ ท่านให้เราเลือกเกิดได้อีกในโลกหน้าภพภูมิ ข้างหน้าเราท่านปราถนาจะเลือกเกิดมาเป็นใครระหว่างศิลปินผู้มีอัจฉริยที่สุด เท่าที่โลกเคยมีมาหรือศาสดาเอกของโลกที่ตรัสรู้ธรรมอันยิ่งของมนุษย์  บางคนอาจจะบอกว่าอยากเกิดเป็นศิลปินด้วยเหตุผลของตนเองหรือบางท่านอาจจะอยาก เกิดเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมและประกาศพระศาสนา แต่ถึงอย่างไร ท่านก็จะต้องคำนึงอยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องการมีความสุข ไม่มีใครอยากเกิดมาแล้วมีความทุกข์เป็นแน่  ชีวิตศิลปินกับชีวิตของศาสดาเอกเป็นเรื่องต่างกัน   การดำเนินชีวิตต่างกัน  และแสวงหาโดยมีจุดมุ่งหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง  โดยจะขอยกตัวอย่างที่เข้าใจกันได้ง่ายๆ เช่น    คนเขียนรูปขาย  ต้องการเงินหรือสิ่งของมีค่าแลกเปลี่ยนกับรูปที่วาด  เพราะเขาต้องเลี้ยงชีพตนเองและลูกเมีย ถ้าไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ทำหรืออย่างดีที่สุดก็คงทำไปเพราะรักในอาชีพนี้แต่ อย่างไรก็ต้องขายเพื่อนำเงินมาจุนเจือการสร้างสรรค์ผลงานของตนเองอยู่ดี ทีนี้เรามาดูชีวิตของศาสดาเอกกันบ้างว่าท่านมีชีวิตอย่างไร ตัวอย่างที่เราท่านรู้จักดีคือ  พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์มิได้ต้องลำบากเรื่องทรัพย์สินเงินทองเพราะทรงเกิดมาเป็นเจ้าฟ้าเจ้า แผ่นดิน พระองค์เสด็จออกบวชหนีห่างจากความสุขทั้งปวงในทางโลกเพื่อแสวงหาหนทางหลุด พ้นจนตรัสรู้ธรรมจากนั้นจึงออกตรัสเทศนาสั่งสอนชักนำคนทั้งหลายให้ประพฤติ ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนโดยมีความปราถนาให้คนทั้งหลายนั้นตรัสรู้ธรรมและ หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาทั้งหลาย พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ศิลปะที่ มีสุนทรียภาพควรแก่การกล่าวถึงนั้นมีมากมายนัก  ทั้งที่เป็นจิตรกรรม ประติมากรรม ดนตรี บทกวีฯลฯ ที่แต่งขึ้นสร้างสรรค์ขึ้นโดย ศิลปินที่มีชื่อเสียง ล้วนเกิดมาจากจินตนาการ แรงบันดาลใจ  อันสูงส่ง ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ออกแบบจน สามารถสื่อความหมายและยกระดับจิตวิญญาณได้  ซึ่งไม่ใช่ว่าผลงานที่มีค่าสูงยิ่งที่กล่าวมานี้ใครๆก็ทำได้แต่ผู้นั้นต้อง เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในกระบวนการทางด้านศิลปะ มีความรู้และฝีมือเป็นเลิศในงานนั้นๆก่อนที่จะรังสรรค์ขึ้นมาได้  ศิลปินบางท่านในอดีตต้องละทิ้งบ้านเรือนลูกเมียออกทำงานอย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อแสวงหาเป้าหมายอันสูงสุดชีวิตศิลปิน จนในที่สุดก็จบลงด้วยความสำเร็จ กลายเป็นบุคคลสำคัญของโลก จากผลงานที่นำเสนอด้านศิลปะ แต่มีอีกมากมายมหาศาลที่กลับพบกับความล้มเหลวเป็นศิลปินที่ไม่มีใครรู้จัก  สิ่งเหล่านี้เป็นผลจากการทำงานอย่างหนักแทบทั้งนั้นไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้ม เหลวก็ต้องผ่านการลงมือทำแทบทั้งสิ้น  ลองผิด ลองถูก  บางครั้งแทบเอาชีวิตไปทิ้งบางครั้งลำบากยากไร้แทบไม่มีจะกิน แต่บางทีก็สุขจนลืมความทุกข์ที่ผ่านมาไปจนหมดสิ้นนี่คือผลที่ทุกคนอยากจะได้ รับจากการทำงาน   ผลที่ไม่ว่าดีหรือร้ายก็ต้องยอมรับ เด็กคนหนึ่งเติบโตมาแขนขาด้วนยังอุตสาหะมานะจนสามารถทำงานเป็นศิลปินที่มี ชื่อเสียงได้มีคนยอมรับนี่คือคำตอบของคนที่พยายามดิ้นรนจนประสบความสำเร็จ  แต่ถ้าเด็กคนนี้ยอมแพ้ต่อโชคชะตาของตัวเองแล้ว  คำตอบของชวิตก็จะจบตรงกันข้าม    ทั้งหมดที่เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่สามารถสรุปเรื่องราวในหัวข้อบทความที่ได้ ตั้งไว้ในตอนต้นได้เพราะผู้เขียนเองไม่อยากให้ผู้อ่าน อ่านแล้วเข้าใจความหมายของคำสองคำนี้ในลักษณะเปรียบเทียบ  แต่หากต้องการให้ท่านได้ใช้ความบริสุทธิ์ของปัญญาอันลึกซึ้งอ่านบทความด้วย ใจที่ปราศจากความลำเอียง ปราศจากอำนาจที่ครอบงำใดๆ  โดยลองทบทวนดูภาพในอดีตว่าเคยเห็น เคยได้ยิน เคยได้สัมผัสกับสิ่งที่จะกล่าวต่อจากนี้หรือไม่  

ศิลปะคืออะไร
             พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ อธิบายว่า " ศิลปะ ได้แก่ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ในเมื่อธรรมชาติ ไม่สามารถอำนวยให้ "พระยาอนุมานราชธน กล่าวถึงศิลปะว่า " ศิลปะ คืออารมณ์สะเทือนใจที่จะแสดงออกมาเป็นหนังสือ สี เสียง ท่าทางเคลื่อนไหวที่งดงาม กระทำให้ผู้อ่าน ผู้ดู ผู้ฟัง รู้สึกเป็นอารมณ์ร่าเริงบันเทิงใจ"นักปราชญ์และนักการศึกษาต่างประเทศ ก็ได้ ให้คำนิยามศิลปะไว้ต่างๆ กัน เช่น  ศิลปะ คือการเลียนแบบธรรมชาติศิลปะคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเท่านั้น
              ดังนั้นจึงพอสรุปความหมายของคำว่าศิลปะ ในที่นี้ได้ว่า "ศิลปะ คือสิ่งที่นอกเหนือจากธรรมชาติที่ไม่ได้อำนวยให้ ดังนั้นมนุษย์จึงสร้างขึ้นด้วยความประณีตและชำนาญ เช่นความงดงามของระบำ รำ ฟ้อน การเต้น รวมทั้งบทเพลงที่ไพเราะ เมื่อแสดงออกแล้วจะเกิดความรู้สึกประทับใจ จนทำให้ผู้ที่ได้ประสบเกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับสิ่งนั้น" และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า "สุนทรียภาพ" สามารถสัมผัสได้โดยผ่านทางประสาทสัมผัส อันได้แก่ ทางตาที่เราเห็น และทางหูที่เราได้ยิน
แต่ในพระพุทธศาสนามิได้หมายความเช่นนั้นเสียทั้งหมด      เป้าหมายของการสร้างศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนานั้น ต่างไปจากการสร้าง    ศิลปะประเภทอื่นเพราะมีเป้าหมายที่แน่นอนอยู่ที่การศิลปกรรมเพื่อรับใช้ ศาสนา    ดังนั้นเนื้อหาของศาสนศิลป์จึงเน้นที่  ความดีและความงามเพื่อให้ผู้พบเห็นได้รับ  ความรู้สึกนึกคิดบนพื้นฐานที่เป็นปรัชญาของศาสนาแต่ละศาสนา ดังที่คำบาลีว่า“กุสสะสิปปัง”   ศิลปะต้องเป็นกุศล    เอาละคราวนี้มีข่าวว่ามีศิลปินแรปเปอร์คนหนึ่ง แสดงคอนเสริต์หมิ่นศาสนาพุทธ จนถูกรัฐบาลของประเทศศรีลังกาสั่งงดออกวีซ่าให้กับศิลปินรายนี้ แม้ว่าจะได้รับความนิยมมากก็ตาม  กระแสต่อต้านนี้ยังลุกลามไปยังหมู่ชนชาวศรีลังกาทำให้เกิดความโกรธแค้นจน ชุมนุมประท้วงที่หน้าบริษัทนำเข้าคอนเสริตนี้พร้อมกับขว้างปาสิ่งของเข้าใส่ จนทำให้พนักงานบาดเจ็บไป 4 คนด้วยกัน  เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีชาวพุทธที่เป็นชาวไทยหลายคนต่อต้านและเรียกร้องให้รัฐบาลไทยงดออกวีซ่า ให้กับนายคนนี้อีกด้วย  จากเหตุการณ์ดังกล่าวเราจะกล่าวได้หรือไม่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างศิลปะกับศาสนา   อะไรมีผลต่อจิตใจของมนุษย์ ยังมีอีกหลายคนที่โดนประณามเพราะดันเอาเรื่องของศาสนามาสร้างเป็นงานศิลปะ เช่น ผลงาน “ภิกษุสันดานกา” ที่โด่งดัง ที่ศิลปินไทยคนหนึ่งสร้างสรรค์ขึ้นจนได้รับรางวัลเหรียญทองมีชื่อเสียงใน หมู่คนวงการศิลปะ ตรงกันข้ามฝ่ายผู้ที่นับถือพุทธศาสนาจำนวนมากมายกลับประณามสาปแช่ง และด่าทอแสดงความไม่พอใจผลงานชิ้นดังกล่าวนี้  กระแสการประณามบุคคลที่ดูหมิ่นเหยียดหยามยังได้ลุกลามบานปลายอยู่เป็นเวลานานแล้วยังไม่หายไปคนกลุ่มที่รักและเคารพศาสนาพุทธกลับทวีความ รัก ความหวงแหนมากขึ้นกว่าเดิมและหาทางป้องกันให้มีการระงับการจัดแสดงผลงานชิ้นนี้ นั่นคงจะเป็นเครื่องชี้ชัดให้พวกเราเข้าใจกันไปในแนวทางที่ถูกต้องกันได้บ้าง มากน้อยตามกำลังสติปัญญาของแต่ละคนว่า  “ศิลปะนั้นจะต้องเป็นกุศลด้วยการที่เราจะมุ่งเน้นแต่การแสดงความคิดเห็นส่วนตนสร้างสรรค์ผลงานศิลปะขึ้นมา ด้านเดียวโดยไม่คำนึงถึงกุศลกรรมด้วยนั้นเราก็จะไม่สามารถเข้าถึงแก่นแท้ของ ศิลปะแม้เราจะสร้างขึ้นมาใหญ่โตสวยงามความหมายสูงส่งเพียงใดแต่หากผลงานชิ้น ดังกล่าวเป็นอกุศลแล้วก็ไม่เป็นศิลปะเพราะศิลปินที่เป็นมนุษย์มีกิเลศตัณหา อยู่นั้นจะนำเปรียบเทียบกับองค์แห่งพระรัตนตรัยได้อย่างไรทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตย่อมนำมาเปรียบเทียบไม่ได้    ศิลปินควรจะสร้างสรรค์ศิลปะให้เกื้อกูลกับศาสนานำศาสนาและคำสอนของพระศาสดา ให้เข้าถึงแก่นแท้ของศิลปะจนเกิดเป็นผลงานการสร้างสรรค์ที่ทรงคุณค่าเป็น สิ่งที่สะท้อนคุณความดีงามที่ตนต้องการนำเสนอ หรือก็คือ  นำธรรมะสร้างเป็นศิลปะก็จะทำให้ประสบกับความสุข ความเจริญแก่ตัวศิลปินและก็มีส่วนสัมพันธ์สืบเนื่องทำให้สังคมที่อยู่นี้ ถึงจะเป็นไปถูกทิศทาง ดังจะนำเสนอต่อไปนี้

รูป 1ภาพวาดภิกษุสันดานกา ที่ถูกต่อต้านจากองค์กรทางพระพุทธศาสนา เพราะสื่อความหมายที่ไม่เหมาะสมเป็นการดูหมิ่นพระสงฆ์
ศาสนาคืออะไร
ศาสนา ความหมาย  [สา สะนะ, สาดสะนะ, สาดสะหฺนา] น. ลัทธิความเชื่อถือของมนุษย์อันมีหลัก คือแสดงกําเนิดและความสิ้นสุดของโลกเป็นต้น อันเป็นไปในฝ่ายปรมัตถ์ประการหนึ่ง แสดงหลักธรรมเกี่ยวกับบุญบาปอันเป็นไปในฝ่ายศีลธรรมประการหนึ่ง พร้อมทั้งลัทธิพิธีที่กระทําตามความเห็นหรือตามคําสั่งสอนในความเชื่อถือ นั้น ๆ. (ส. ศาสน ว่า คําสอน, ข้อบังคับ; ป. สาสน).
ศาสนา หมายถึง ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งเหนือธรรมชาติ ในหลักอภิปรัชญาว่าทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาดำรงอยู่และจะเป็นเช่นไรต่อไป มีหลักการ สถาบัน หรือประเพณี ที่เป็นที่เคารพโดยทั่วไป แล้วอาจกล่าวได้ว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ควบคุม และประสานความสัมพันธ์ของมนุษย์ ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข คือ ให้มีหลักการ ค่านิยม วัฒนธรรมร่วมกันและวิถีทางที่มนุษย์เลือกใช้ในการดำรงชีวิต ให้สังคมเป็นหนึ่งเดียวกัน มีแนวทางไปในทิศทางเดียวกัน ด้วยหลักจริยธรรม คุณธรรม ศิลธรรมที่เป็นบรรทัดฐานเดียวกันสำหรับประเทศไทย ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา โดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภ์ทุกศาสนา ศาสนาสำคัญ และมีคนนับถือมากที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ นอกจากการนับถือศาสนาแล้ว ยังมีความเชื่อไม่นับถือศาสนาด้วย เรียก "อศาสนา" (อังกฤษ: irreligion) และผู้ไม่นับถือศาสนาเรียก "อศาสนิก" (อังกฤษ: irreligious person)

ความสำคัญของศาสนา

1.             บอกถึงหลักอภิปรัชญา ว่าโลกนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร และจะเป็นเช่นไร
2.             สอนหลักคุณธรรมศีลธรรมจริยธรรมของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกัน
3.             ให้รู้จักการดำเนินชิวิตเช่นไรจึงจะถูกต้อง
4.             มีเป้าหมายในชีวิต เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่เพียงแต่เกิดมาเพื่อกิน และเสพกามเท่านั้น
5.             หลักศรัทธา ว่าทำดีได้รางวัลคือขึ้นสวรรค์ ทำชั่วได้โทษคือตกนรก ทำให้แม้จะลับตาคนไร้กฎหมายก็ไม่ทำชั่วทำแต่ดี
6.             เป็นที่พึ่งทางใจ ในยามชีวิตประสบปัญหาสิ้นหวัง ไร้กำลังใจ หรือปลอบประโลม ผู้สูญเสีย บุคคลอันเป็นที่รัก
7.             เป็นบ่อเกิดแห่งศิลปะ วัฒนธรรม และประเพณี

ความสัมพันธ์ระหว่างศิลปะและศาสนา

               จากอดีตที่ผ่านมานับพันๆ ปีนั้นจะเห็นว่าศิลปะกับศาสนามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาช้านาน
เพราะศิลปะมักถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่ศาสนาไปยังศาสนิกชน หรือสร้างเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา เช่น การสร้างงานจิตรกรรมเพื่ออธิบายหลักธรรม หรือบันทึกเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับประวัติชีวิตของศาสดาหรืออธิบายคำสอนของศาสดา การสร้างวัตถุหรือหรือรูปเคารพในศาสนาต่างๆ ศิลปะที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนานั้นมีแทบทุกประเภท ตั้งแต่ประเภทประติมากรรม จิตรกรรม สถาปัตยกรรมและประเภทอื่นๆ จุดประสงค์หรือเป้าหมายในการสร้างศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา ต่างไปจากการสร้างศิลปะประเภทอื่น เพราะศิลปินผู้สร้างศิลปะ เนื่องในศาสนาหรือศาสนาศิลป์นั้น มีเป้าหมายของเนื้อหาแน่นอนอยู่ที่การศิลปกรรมเพื่อรับใช้ศาสนา ซึ่งสาระสำคัญของศาสนาทุกศาสนานั้น มุ่งให้มนุษย์มีชีวิตที่ดี มีศิลธรรมประจำใจ ดังนั้น เนื้อหาหรือเป้าหมายของศาสนศิลป์ จึงเน้นที่ ความดีและความงาม เพื่อให้ผู้เสพได้รับความรู้สึกนึกคิดบนพื้นฐาน ที่เป็นแนวปรัชญาของศาสนาแต่ละศาสนา
                  อย่างไรก็ตาม เมื่อศิลปินมีแนวคิดที่เป็นอิสระพ้นจากศาสนาแล้ว จึงสร้างศิลปะเพื่อศิลปะขึ้นในยุคต่อมาก็ตาม แต่ ! ศิลปินก็ยังดำรงแนวคิดที่มุ่งให้ศิลปะ เป็นสื่อของความดีและความงามในจิตใจมนุษย์
มากกว่าที่จะใช้ศิลปะไปในทางเลวร้าย จนกลัวกันว่า ศิลปะกับศาสนาเป็นสิ่งเดียวกัน หรือเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกันมาก ดังที่ ศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ได้เขียนไว้ว่า ความมุ่งหมายของศิลปะคือเกื้อกูลศีลธรรมแยกระดับจิตใจของมนุษย์ แม้ว่าการแสดงออกในบางครั้งจะใช้เรื่องอกุศลเป็นสื่อ แต่เป็นไปเพื่อชี้ให้เห็นปัญหาและวิธีแก้ไข เช่น ศิลปะทางกามวิสัยตามเทวสถานในอินเดียศิลปะเหล่านั้น มีความมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ทางศีลธรรมและสังคม เนื่องจากโรคระบาดได้ทำลายชีวิตของประชาชนไปมากมาย จึงต้องช่วยกระตุ้นและสนับสนุนให้การกำเนิดมนุษย์
                  ศิลปะการแสดงออก ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งเป็นประโยชน์ในด้านการศึกษา อีกชนิดหนึ่งเป็นศิลปะเพื่อศิลปะ แต่มีจุดหมายอย่างเดียวกัน เพื่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติ ส่วนศาสนาก็มีจุดหมายปลายทางทางด้านจิตใจเช่นกัน คือสอนให้คนเป็นคนดีโดยอาศัยหลักธรรม แต่ศิลปะสอนโดยอาศัยการเรียนรู้จากการประสานกลมกลืนกันและความงาม (ศิลปะและศีลธรรม : ธนิต อยู่โพธิ์ แปลจาก Art and Morality) ดังกล่าวแล้ว จะเห็นว่าปรัชญาของศิลปะและศาสนานั้นค่อนข้างจะใกล้ชิดกันมาก จนสิ่งทั้งสองสามารถผสานกลมกลืนกันไปได้เป็นอย่างดี ในอดีตศิลปะหลายประเภท พัฒนามาจากศิลปะเนื่องในศาสนา ก่อนที่จะพัฒนามาสู่ศิลปะสมัยใหม่และศิลปะร่วมสมัย ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นทั้งในซีกโลกตะวันออกและซีกโลกตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธศาสนาที่ถ้ำอชันตะ (AJANTA CAVE) ในประเทศอินเดียซึ่งเป็นจิตรกรรมเนื่องในพุทธศาสนายุคแรก ที่อาจจะเป็นต้นแบบที่ให้อิทธิพลต่อจิตรกรรมฝาผนัง เนื่องในพุทธศาสนาในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคต่อๆ มารวมทั้งจิตรกรรมฝาผนังของไทยเราด้วย นอกจากนี้งานศิลปะเนื่องในศาสนาประเภทอื่นทั้งประติมากรรม สถาปัตยกรรม ตลอดจนถึงภาพพิมพ์ก็มีต้นกำเนิดและพัฒนามาจากจุดประสงค์ในการพิมพ์คัมภีร์ศาสนา ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นการพิมพ์และศิลปะภาพพิมพ์ในปัจจุบัน เช่น ต้นกำเนิดของการพิมพ์และศิลปะศิลปะภาพพิมพ์ซีกโลกตะวันออกนั้น น่าจะมาจากการพิมพ์คัมภีร์ที่เก่าแก่ที่สุดของจีนที่เรียกว่า วัชรสูตร (the Dimon Sutra) ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์จากแม่พิมพ์ไม้ มีตัวหนังสือและภาพประกอบ พิมพ์ด้วยกระดาษเป็นม้วนยาว ๑๖ ฟุต กว้าง ๑ ฟุต มีตัวหนังสือบอกปีที่พิมพ์ว่า พิมพ์เมื่อวันที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๑๔๑๑ ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอังกฤษ กรุงลอนดอน คัมภีร์ดังกล่าวอาจเป็นต้นแบบสำคัญที่ก่อให้เกิดการพิมพ์ และศิลปะภาพพิมพ์ในเกาหลีและญี่ปุ่นในยุคต่อๆ มา ส่วนการพิมพ์และศิลปะภาพพิมพ์ในซีกโลกตะวันตกก็เชื่อว่า ได้รับแบบอย่างไปจากจีนเช่นเดียวกับอารยะธรรมอื่นๆ ที่ไปจากจีนเป็นจำนวนมาก การพิมพ์ในยุโรปช่วงแรกก็เป็นการพิมพ์คัมภีร์ในคริสต์ศาสนา ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นการพิมพ์หนังสือและศิลปะภาพพิมพ์ในยุคต่อๆ มา จนพัฒนามาเป็นศิลปะภาพพิมพ์ร่วมสมัยในปัจจุบัน
                จึงเห็นได้ว่า ศิลปะที่เนื่องในศาสนาเป็นต้นกำเนิดของศิลปะหลายประเภท ที่พัฒนามาสู่ศิลปะสมัยใหม่และศิลปะร่วมสมัย นอกเหนือจากผลงานศิลปะโดยตรงช่างและศิลปินผู้สร้างศิลปะเนื่องในศาสนาก็มีบทบาทอย่างสำคัญ ในการพัฒนาศิลปะให้ก้าวหน้าและมีคุณภาพ เพราะช่างและศิลปินผู้สร้างงานศิลปะเนื่องในศาสนา จะต้องมีความศรัทธาในศาสนาเป็นเบื้องต้นอยู่ในจิตใจ จึงพยายามที่จะนฤมิตผลงานของตนให้ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ศิลปินและช่างประเภทนี้จะต้องมีความรู้ทั้งด้านศิลปะและศาสนา ประกอบกันไปด้วยเพื่อให้ได้ศิลปกรรมที่ตรงตามปรัชญาของศาสนา แต่...การที่ศิลปกรรมจะมีสัมฤทธิผลสมบูรณ์นั้น จักต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกมาก ตั้งแต่ความชำนาญเชี่ยวชาญในศิลปะประเภทนั้นๆ ความเข้าใจในหลักและปรัชญาของศาสนา ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะต้องมีอยู่ในตัวช่างหรือศิลปินผู้สร้างศิลปะ คุณสมบัติเช่นนี้ต่างไปจากความเป็นช่างหรือศิลปินสมัยใหม่ ที่ส่วนมากสร้างศิลปะเพื่อสนองความรู้สึกนึกคิดของตนเองเป็นหลัก แต่ผู้สร้างศาสนศิลป์หรือพุทธศิลป์นั้น มุ่งไปที่ผลที่จะเกิดกับผู้เสพซึ่งเป็นศาสนิกชนเป็นสำคัญ ดังนั้น การสร้างศิลปกรรมเนื่องในศาสนาจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้สร้างจะต้องมีศักยภาพในตัวสูงยิ่งที่เดียว
    ศาสตราจารย์ศิลป์  พีระศรี ได้กล่าว แสดงแนวคิด สุนทรียภาพในพระพุทธรูปไว้ว่า  “ในการมองดูพระพุทธรูป(ปางลีลา) ที่สวยงามแบบนี้รูปหนึ่ง  เราจะรู้สึกว่ารูปนั้น          กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างแช่มช้อย มีนิ้วพระหัตถ์ทำท่าอย่างสุภาพเป็น เครื่องหมายแสดงถึงพระธรรมจักร คือ พระอริยาบถของพระพุทธองค์ขณะทรงดำเนินไปประกาศพระศาสนาของพระองค์ พระวรกายมีทรวดทรงอ่อนช้อยอย่างสวยงาม เพราะเหตุว่าในขณะที่พระองค์กำลังเบือนไปทางด้านหนึ่งตามลักษณะการเคลื่อน ที่ของพระชงฆ์นั้น พระกรก็จะห้อยลงมาอย่างได้จังหวะตามลักษณะที่อ่อนโค้ง พระเศียรมีลักษณะคล้ายดอกบัวตูมและพระศอซึ่งผายออกเบื้องล่างก็ตั้งอยู่บน พระอังสาอย่างได้สัดส่วน
รูป 2พระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัย
 สิ่งเหล่านี้จะเห็นได้ชัดเจน ในพระพุทธปฏิมาสมัยต่างๆ ของไทย ซึ่งประติมากรสามารถถ่ายทอดพุทธปัญญาและสารัตถธรรม ให้หลอมรวมอยู่ในองค์พระปฏิมาได้อย่างหมดจดงดงามอย่างที่สุด เฉพาอย่างยิ่งพระพุทธรูปสกุลช่างสุโขทัยนั้น ถือว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่มีความเป็นเลิศในทุกทาง เป็นประติมากรรมคลาสสิคของไทย ที่มีความสมบูรณ์ทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ กรรมวิธีในการหล่อสำริด รูปทรงเค้าโครงที่ได้สัดส่วนงดงามมีพระพักต์รที่อิ่มเอิบ แสดงถึงความหลุดพ้นไปจากกิเลส ตัณหาทั้งปวง พระพุทธปฏิมาบางลีลาของสุโขทัยนั้น เป็นพระพุทธปฏิมาที่มีความงามเป็นเลิศ ด้วยความประสานกลมกลืนกันของเส้นรอบนอก และปริมาตรที่สมบูรณ์ ก่อให้เกิดความรู้สึกที่อิ่มเอมหลุดพ้น
                 “ ภาพลักษณ์พระพุทธรูปนั้นไม่มีนัยยะของภาพเหมือน แต่เป็นสัญลักษณ์อันหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนมนุษย์ภายนอกของภาพลักษณ์ไม่บ่งบอกถึงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต ไม่สะท้อนอะไรสักอย่างที่เคยพบเห็นเชิงกายภาพ แต่มันเป็นสูตรอันหนึ่งซึ่งสร้างความเข้าใจได้ดี”   สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญา และความสามารถของปะติมากรไทยในอดีตเป็นอย่างดี   การสร้างพระพุทธรูปอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการใช้ทฤษฎีสัญลักษณ์มาประกอบ  เพราะการที่พระพุทธรูปมิได้เหมือนพระองค์จริงของพระพุทธเจ้านั้น  มิได้หมายความว่าศิลปินขาดความรู้ ความสามารถ  แต่การสร้างพระพุทธรูปนั้นมิได้คำนึงถึงความเหมือนเพียงอย่างเดียว  แต่ยังคำนึงถึงปรัชญาที่สอดแทรกอยู่ในองค์พระพุทธรูปด้วย  ดังเช่น  มีการอธิบายความหมายของสัญลักษณ์ที่ปรากฏในพระพุทธรูปส่วนต่าง ๆ ไว้ ดังนี้
 -  ศิราภรณ์ หรือ มงกุฏที่ประดับบนพระเศียรพระนั้นเห็นเป็นชั้น 3 ชั้น  หมายถึง พระพุทธรัตนะ  ธรรมรัตนะและสังฆรัตนะ ซึ่งเป็นสรณะอันสูงสุดของพระพุทธศาสนา (อันนี้หมายถึงมงกุฎของพระพุทธรูปทรงเครื่อง)
            -  รูปวงที่เป็นลายกลมโค้งสะบัดเป็นเปลวเพลิง  ที่ปรากฏอยู่ตรงกลางพระนลาฏ(หน้าผาก) นั้น คือ อุณาโลม ซึ่งมีลักษณะเป็นขนอ่อนละเอียดโค้งวงเป็นเปลวไฟขึ้นไปอย่างงดงาม  ลักษณะนี้มีอยู่ในร่างกายของพระมหาบุรุษเท่านั้น
            -  ลูกประคำ  คล้องพระศอเฉวียงบ่า  ประคำนี้มีจำนวน 108  ลูก  หมายถึง จำนวนพระพุทธเจ้า  28  พระองค์  พระอรหันต์  80  องค์  รวมเป็นมหาบารมี  108 
             -  สายธุรำ  เป็นสายยาวคล้องเฉวียงบ่า  เช่นเดียวกับสายประคำ สายธุรำนี้เป็นสายมงคลของพราหมณ์ ผู้เข้าบวชเป็นพราหมณ์ในครั้งแรกจะได้รับสายนี้ซึ่งจะต้องคล้องไปตลอดชีวิต  การที่พระปฏิมาปรากฏมีสายธุรำนี้ เพื่อแสดงว่า พระพุทธเจ้านั้นเคยดำรงพระชาติเป็นพราหมณ์มาก่อน
              -  ลายในฝ่าพระหัตถ์  T และฝ่าพระบาท แสดงถึงรูปพระธรรมจักรของพระพุทธองค์  หมายถึงความจริงของโลกและกฎธรรมะของโลกที่ต้องประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่ มีวันสิ้นสุด ชีวิตหมุนเวียนแปรผันอยู่ในความทุกข์ ไม่แน่นอน ศูนย์เปล่า ไม่มีตัวตน  ความจริงอันนี้ไม่มีใครปฏิเสธได้ ทุกชีวิตในโลกถ้าต้องการพ้นทุกข์ต้องปฏิบัติตนไปตามข้อธรรมของพระพุทธเจ้า  ซึ่งจะนำพาให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งทุกข์ได้
               -  ภาพสัตว์ประดับฐานองค์พระ  ฐานที่รองรับองค์พระบางองค์มีภาพสัตว์ต่าง ๆ ประดับอยู่รอบฐาน เช่น รูปหนุมาน รูปโค รูปสิงห์ รูปพญานาค รูปสัตว์ดึกดำบรรพ์   ภาพสัตว์เหล่านี้เป็นธรรมาธิษฐานแสดงว่าพระพุทธองค์จะไปตกอยู่แห่งหนตำบลใด ก็ตาม  ย่อมเป็นที่รักใคร่ของสรรพชีวิตในโลกทั้งสิ้น  แต่ภาพสัตว์บางภาพก็บ่งบอกถึงประวัติของสถานที่สร้างก็มี เช่น  พระบูชาแบบที่มีฐานเป็นหัวช้าง  เป็นพระสร้างในสมัยลานช้าง 
                 -  บัวรอบฐานองค์พระ  เรียกว่า  ฐานบัวคว่ำบัวหงาย หมายถึง ดอกไม้แห่งความบริสุทธิ์ของโลก เป็นเครื่องหมายของพระพุทธเจ้า
                  -  ปฏิมากรรมโบราณบางองค์มีฐาน 8 เหลี่ยม (เช่น พระสมัยเชียงแสน) และเจาะฐานเป็นช่องลายต่าง ๆ  นับได้  8  ช่อง  สิ่งที่ทำขึ้นไว้นี้ หมายถึง อัฏฐบริขาร  คือ เครื่องใช้สอยของบรรพชิต 8 อย่าง 
                 -  ริ้วจีวรที่คลุมพระวรกายอย่างบางแทบจะมองไม่เห็น หมายถึง  จตุบริสุทธิศีล คือ  ปาฏิโมกขสังวร  อินทรียสังวร  อาชีวปาริสุทธิและปัจจัยปัจจเวกขณะ

พระช่าง
โดยเหตุที่ การสร้างพุทธศิลป์ ช่างหรือศิลป์นั้นต้องมีความสามารถทั้งทางศิลปะและมีความรู้เกี่ยวกับศาสนด้วย จึงทำให้ช่างและศิลปินที่สร้างสรรค์พุทธศิลป์ของไทยจำนวนไม่น้อย เป็นพระภิกษุหรือเป็น พระช่างเพราะเป็นผู้มีคุณสมบัติดังกล่าว พระช่างนี้มีอยู่ทุกยุคทุคสมัย เช่น ขรัวอินโข่ง ช่างเขียนที่มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ ๔ ผู้เขียนภาพปริศนาธรรม ที่พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ ถือกันว่าเป็นการปฏิรูปจิตรกรรมฝาผนังตามแบบประเพณีไทยทั้งด้านรูปแบบและเนื้อหา ทั้งนี้เพราะการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์วิหารของไทยแต่เดิม มักเขียนพุทธประวัติและชาดกแทบทั้งสิ้น ส่วนวิธีการเขียนก็เขียนด้วยสีแบนๆ แล้วตัดเส้นไม่มีแสงเงา แต่ขรัวอินโข่งได้นำกรรมวิธีตามแบบอย่างของศิลปะตะวันตกมาใช้ คือภาพที่มีแสงเงาและมีระยะใกล้ไกลหรือทัศนียวิสัย แบบมิติ (Three Dimentions) แบบตะวันตกมาใช้ วิธีการของขรัวอินโข่งได้ก่อให้เกิดจิตรกรรมสกุลช่างแบบขรัวอินโข่งขึ้นมา โดยมีพระช่างร่วมสมัยกับขรัวอินโข่งที่สำคัญอีกองค์หนึ่งคือ พระครูกสินสังวร เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ กรุงเทพฯ เป็นศิษย์ของขรัวอินโข่งมีผลงานปรากฎอยู่ที่พระอุโบสถวัดทองนพคุณ และที่พระอุโบสถวัดโปรดเกตุเชษฐาราม จังหวัดสมุทรปราการ นอกจากนี้ ก็มีจิตรกรหรือช่างที่เป็นภิกษุอีกหลายองค์ เช่น พระอาจารย์แดง แห่งวัดหงษ์รัตนาราม กรุงเทพฯ ช่างเขียนผู้มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้น
รูป 3ผลงานจิตรกรรมฝาผนังของขรัวอินโข่ง , พระครูกสินสังวร, พระอาจารย์แดงแห่งวัดหงษ์รัตนาราม
                   ศาสนศิลป์หรือศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาทุกศาสนา เป็นศิลปะที่มีผลโดยตรงที่สัมพันธ์กับวิถีชีวิตของมวลมนุษย์มาช้านาน และศิลปกรรมเหล่านั้นเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็น ภูมิปัญญา ความศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อศาสนา และด้วยความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนานี้เอง เป็นพลังมหัศจรรย์ที่ทำให้เกิด ศิลปกรรมที่ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
              สำหรับศาสนศิลป์ในประเทศไทยนั้น ส่วนมากเป็นศาสนศิลป์เนื่องในพุทธศาสนาหรือเป็นพุทธศิลป์เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีศาสนศิลป์ในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู และอิสลามอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ไม่มากนัก
ก่อนประวัติศาสตร์ไทยนั้นเป็นที่ทราบกันดี ว่า เป็นศิลปะลัทธิมหายานของสมัยขอมและศรีวิชัย แต่สำหรับสมัยทวาราวดีนั้น เป็นของอินเดียและมอญลัทธิเถรวาท  รวมทั้งในสมัยสุโขทัยของประวัติศาสตร์ไทย  ซึ่งถือกันว่าเป็นศิลปะของพุทธที่งดงามที่สุดของโลกแบบหนึ่ง ดังคำกล่าวของผู้ที่พบเห็นซึ่งไมม่ได้เป็นชาวพุทธ ดังนี้
“ภาพลักษณ์พระพุทธเจ้าสร้างโดย ปฏิมากรสุโขทัย นั้นเปล่งประกายความสงบเงียบออกมาให้เห็นเป็นพิเศษและมีพลังวิญญาณที่รู้สึกได้ แม้จะไม่ใช่ชาวพุทธ”
และถ้าในมุมมองของนักประวัติศาสตร์และโบราณคดี ผู้มีส่วนได้ศึกษาเรื่องนี้บันทึกเกี่ยวกับพระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัยว่า
“แบบของหุ่นประติมากรรม เสมือนคุณค่าที่นำเข้าสู่จิตภวังค์  มีความรู้ในการใช้วัสดุเป็นอย่างดี ไม่ลวงตาด้วยความเป็นเนื้อหนังของคนและรอยจีบของผ้า ซึ่งนำมาเป็นปัจจัยแฝงไว้กับเนื้อโลหะมันเป็นเฉกเช่น การเห็นพลังเพลิง พื้นผิวของบรอนซ์เปล่งแสงเรืองด้วยโครงร่างรอบนอกคล้ายการพลิ้วสะบัดของเปลวเพลิง” ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิส    ดิสกุล ได้กล่าวไว้กับผลงานพระพุทธรูปชิ้นหนึ่ง ดังนี้
ภาพอันสวยงามนี้  ถือได้ว่ามีคุณค่าด้านผลงานดินเผาที่ดีที่สุดของทวาราวดี และอีกทั้งมีความเป็นพิเศษสุดของงานปูนปั้น  ซึ่งถูกค้นพบจากการขุดอุโมงค์ซากปรักหักพัง อนุสาวรีย์ ของเมืองคูบัวใกล้ราชบุรี ตอนใต้ของประเทศไทย  แบบของมวยผม ไหล่แผ่กว้างและร่างเรียว  บอบบางชวนให้รำลึกถึงศิลปะสมัยคุปตะ และคุปตะตอนหลังของอินเดีย  ใบหน้าอันละไมแสดงออกด้วยการเผยอยิ้ม ร่างสรวมผ้ายาวมัดแน่นด้วยผ้าคาดสะเอว  เส้นรอบนอกศีรษะคลุมหนังละมั่งทาบบนผ้าคลุมไหล่ซึ่งรู้และชี้ชัดได้ว่าเป็นรูปของพระโพธิสัตวาอวโลกิเตศวร โดยลักษณะของการสรวมใส่หนังละมั่งมือขวาถือเหยือก  ซึ่งแสดงถึงพระอวโลกิเตศวร  การค้นพบพระโพธิสัตว์ชิ้นนี้  มีความสำคัญมากเพราะสามารถพิสูจน์ได้ครั้งแรกว่า  พุทธแบบมหายาน  ได้มีการปฏิบัติกันในแวดวงของวัฒนธรรมทวาราวดี  สถานที่ส่วนใหญ่ซึ่งมีวัตถุโบราณอยู่ร่วมกับเถรวาท”              เกี่ยวกับประเด็นเรื่องสัญลักษณ์ที่เป็นสื่อถึงปรัชญาที่แฝงอยู่ในพระพุทธ รูปดังกล่าวมานี้  เมื่อพิจารณาถึงทัศนะทางปรัชญาของนักปรัชญา เช่น  เฮเกล (Hegel) มีแนวคิดว่า  ความงาม คือ ความจริงที่ฉายจากสิ่งสมบูรณ์ผ่านโลกทางประสาทสัมผัสตามที่จิตของมนุษย์ สามารถเข้าใจได้ ความงามจึงเป็นความจริงที่เรารับรู้ได้ในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวและความงามที่มีสุนทรียภาพคือความงามในศิลปะ ซึ่งศิลปะที่แฝงความหมายของสิ่งที่ต้องการสื่อไว้ด้วยนั้นจัดเป็นศิลปะเชิง สัญลักษณ์ (Symbolic art) ซึ่งพบได้ในศิลปะทางศาสนาของฮินดู  อียิปต์และฮิบรู  ตามทัศนะนี้ประกอบกับสัญลักษณ์ที่ปรากฏในพระพุทธรูป  ทำให้สรุปได้ว่า  การสร้างพระพุทธรูปจัดเป็นศิลปะเชิงสัญลักษณ์ที่มีความสำคัญทั้งต่อผู้สร้าง ในฐานะเป็นผู้ก่อให้เกิดสิ่งที่นำมาสู่สุนทรียภาพแก่ผู้พบเห็นหรือได้ สักการบูชา  ซึ่งผู้สร้างเองก็ต้องมีสุนทรียภาพภายในตนและจินตนาการที่แฝงไว้ด้วยความงาม และความจริงด้วย  เพราะฉะนั้นผลงานที่ปรากฏนอกจากจะเป็นเครื่องสื่อถึงความเป็นพระพุทธเจ้า  ความงามและความดี  ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงจิตใจ  ความรู้  และความสามารถอันน่าชื่นชมของผู้สร้างไปในตัว และเมื่อผลงานปรากฏก็เกิดผลดีต่อส่วนรวมหรือประชาชนโดยกว้างขวางในฐานะที่ เป็นผู้เสพหรือผู้สัมผัสกับงานศิลปะนั้น ๆ  ซึ่งในขั้นลึกอาจยังนำไปสู่การเข้าถึงธรรมอันแฝงอยู่ในลักษณะสัญลักษณ์ที่ ปรากฎอยู่ด้วย สุนทรียศาสตร์กับการสร้างพระพุทธรูปจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกันและมีความ สำคัญดังกล่าวมา
บทสรุป
 สรุปเนื้อหาที่ผู้เขียนได้นำเสนอมาแล้วนั้นคงจะทำให้ศิลปินหรือผู้ที่สนใจศิลปะหรือคนในวงการพุทธศาสนาได้เห็นแล้วว่า ความมุ่งหมายสูงสุดของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนานั้น ต้องสร้างสรรค์ขึ้นด้วยอุดมคติอย่างสูงส่ง ประกอบกับความรู้ ความเชี่ยวชาญอันพึงมีของช่างศิลปะเองด้วย ผลงานจึงจะสะท้อนส่งผลให้เกิดความเจริญขึ้นทั้งต่อตัวผู้สร้างเองและต่อสังคมประเทศชาติ เพราะหากมีการสร้างผลงานที่ไม่เป็นศิลปะ(ศิลปะที่ไม่เป็นกุศล)ออกมาแล้วแม้จะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเพราะอ้างสิทธิเสรีภาพก็ตาม  ก็อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงและเกิดความเสื่อมเสียต่อตนเองและส่วนรวมในที่สุด เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังต้องการสิ่งสูงสุดในชีวิต ก็ต้องพึ่งพากันและกันในการดำเนินชีวิตให้ถูกที่ถูกทางและก็ไม่มีใครปราถนาจะพบกับสิ่งที่ไม่ดี ทุกคนต่างต้องการสิ่งที่ดี ที่เจริญด้วยกันทั้งนั้น


บรรณานุกรม
สุชาติ   สุทธิ     ,คู่มือการสอน-สุนทรียภาพของชีวิต-โครงการจัดตั้งคณะศิลปกรรมศาสตร์ สถาบันราชภัฏสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี , กรุงเทพฯ. สำนักพิมพ์เสมาธรรม , พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๔๔: หน้า ๓๖,๓๘,๓๙.๔๒
วิบูลย์  ลี้สุวรรณศิลปะกับชีวิต (กรุงเทพมหานคร: บริษัท เอสพีเอฟ พริ้นติ้ง กรุ๊ป จำกัด , 2542),  หน้า๙๑, ๑๐๓
พินัย  ศักดิ์เสนีย์ของดีจากหิ้งพระ (กรุงเทพมหานคร :  โพธิ์สามต้นการพิมพ์, ม.ป.ท.)หน้า 32-37
ภัทรพร  สิริกาญจน, “จากไตรภูมิพระร่วงถึงภิกษุสันดานกา: ความเชื่อ ความงาม ความจริง,”  ในหนังสือโครงการส่งเสริมและเผยแพร่งานวิจัยเนื่องในวาระหนึ่งทศวรรษพุทธศาสนศึกษาจัดพิมพ์โดยภาควิชาปรัชญา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับศูนย์วิจัยทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (กรุงเทพมหานคร: ม.ป.ท., 2551),หน้า  2